animal5

Tuesday, October 27, 2009

ANATTA BUTTON!!



ตอนนี้เรากะลังสะสม กระดุมเม็ดเล็กๆ ที่เรารู้สึกว่ามันน่ารักจนอดใจซื้อไม่ไหว
เรารู้สึกว่ากระดุม ก็คือส่วนประกอบสำคัญให้การทำให้เสื้อผ้ามันสมบูรณ์แบบ^^
ชอบจัง

Thursday, April 2, 2009

WE R THE CREATOR!!!!

ในที่สุดก็ผ่าน มิดเทอมแรกไปได้ด้วยดี หลังจากการทำงานหนักของทุกคน หน้าแก่ลงไปตามๆกัน ผลงานทุกคนออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ถือว่าทุกคนประสบความสำเร็จในขั้นแรก ก่อนหน้านี้เราอยากจะร้องตะโกนบอกเพื่อนๆเราว่าอย่าเวอรได้ป๊ะ แต่พูดไปเกรงจะผิด คัลเจอรของเค้า ฮ่าาา เพื่อนๆ ทำงานกันเยอะมาก จนเรารู้สึกกดดัน กดดันทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่ม เรารู้สึกว่าเราไม่สมควรจะลงคอสนี้ มันดูเหมือนจะสนุกแต่มันก็เป็นแค่เปลือก เปลือกที่เราเห็นว่างานดี น่าสนใจ น่าสนุก แต่จิงๆ เราไม่รู้หรอกว่ามันเหนื่อยและลึกซึ้งกว่าที่เราคิด มาก การเรียนปริญญาโท ในความคิดของเรา เป็นสิ่งที่คน โตแล้วเค้าถึงสมควรจะเรียนกัน โตแล้วของเราหมายความถึงคนที่มีความรับผิดชอบพอ อันนี้เรามองในสายงาน ศิลปะและดีไซน ซึ่งมันแตกต่างกับสาย บิสสิเนส อย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่เริ่มเรียนมา จนถึงตอนนี้ เรามองย้อนดูตัวเองมาตลอด ตอนเริ่ม เรารู้ตัวเองเลยว่าเราไม่มีความรับผิดชอบพอที่จะมายืนอยู่ในจุดนี้ เพราะเราคิดว่า เราทำไมได้ มันยากเกินไป ศัพเทคนิคไรก็ไม่รู้ ผ้าก็ไม่รู้จัก ไม่รู้เรื่อง เข้าเรียนไปก็ไม่เข้าใจ อ่านเองดีกว่า แต่เราก็ไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการอยู่ดี จนกระทั้งเรามากลางๆเทอม ตอนที่เรามองงานของเพื่อนๆและบอกกับตัวเองว่า กูไม่ทันแล้ว มันก็เปรียบกับการวิ่งร้อยเมตรที่เวลาสั้นและรวดเร็วเพื่อนๆบางคน อีกสามก้าวจะถึงเส้นชัย แพ้ชนะห่างกันเพียงเสียววิ ในขณะที่เราเพิ่งเริ่มเดินได้แค่สองก้าว แล้วพยายามจะตะโกนบอกคนข้างหน้าว่ารอฉันด้วย ฉันกำลังเร่งสปีด สุดชีวิต ในช่วงเร่งสปีดนั้นแหละ คือช่วงเวลาที่โหดร้ายที่สุด เราต้องเข้าทำงานหนักทุกวัน วันนึงเกินสิบชั่วโมง กลับบ้านก็ต้องทำถึงตีสองตีสาม ตื่นมาก็ไปมหาลัย เป็นช่วงเวลาที ทำให้อายุเราสั้นขึ้นเยอะ จากผ้าที่ไม่เคยรู้จัก ก็ต้องเอาให้รู้จัก วิธีการต่างๆที่ไม่เคยทำก็ต้องทำให้ได้ ไม่อย่างนั้น เราก็จะไม่มีวันวิ่งตามเค้าทัน และเวลาที่วิ่งตามคนอื่นไม่ทัน คุณจะรู้สึกกดดัน ท้อแท้เบื่อหน่าย และยอมแพ้กันไป นอกจากนั้น พี่เลี้ยงหรือหมายถึง อาจานผู้สอนเค้าก็จะรู้สึกผิดหวัง กับสิ่งที่คุณทำ แต่แน่นอนเค้าจะไม่พูดตรงๆ เพราะเราโตพอที่จะรับรู้ได้ด้วยตัวเอง อันนี้ยังดี พี่เลียงบางคน บางมหาลัย ถ้างานไม่ถึง standard เค้าก็จะชื่นชมคุณว่า งานคุณน่าขยะแขยง ทำออกมาได้ไง หรือบางคนก็จะบอกว่า งานเรามัน โง่มาก ซึ่ง จิงๆแล้ว การเอาเงินมาเสียค่าเรียนให้ฝรั่งมังคุด มันสามารถ เป็นก้อนเงินที่เราจะไปเปิดบริษัทเป็นของตัวเองได้เลยที่เดียว ลองคิดดู หลายๆคนรวมตัวกัน ได้เป็นสิบล้าน ทำอะไรได้อีกตั้งเยอะ ดีกว่ามาโดนฝรั่ง ไซโค หรือ รุมด่า มากกว่าอีก ตอนนี้เราวิ่งมาถึงกลางๆลู่ บางคนวิ่งเข้าเส้นชัยไปแล้ว บางคนโดนเราแซงไปก็มีเยอะ แต่ทั้งหมดทั้งมวล มันเหนื่อยกว่าที่เราคิดเยอะ ที่เราพูดมามันในเชิงของคนเรียนดีไซนนะ เพราะเราไม่รู้ว่า เด็กบริหารเค้าเป็นและเรียนกันยังไง อาจจะง่ายหรือยากต่างกัน แต่อยากให้รู้ว่า ในความคิดของเรา ถ้ามีความรับผิดชอบไม่พอ หรือ ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไรในอนาคต ก็อย่าเอาเวลาและเงินมาเสียให้กับปริญญาที่แค่เอาไปตั้งโชว หรือแค่พูดอวดโชวว่ากูจบ อังกริสมา เพราะว่าเรารู้ว่า สิ่งที่เราได้เป็นแค่เปลือกนอกเ่ทานั้น





มาพูดถึงคอนเซปงานเราบ้างดีกว่า งานเราอย่างที่รู้เป็นเรื่องของการร้อยมาลัย มาลัยของเรา พิเศษ ตรงที่เราเล่าเรื่องราวไปเรื่อยๆในการร้อย ตอนนี้เราอยู่ในช่วงของการหาเทคนิคต่างๆในการที่เราจะเล่าเรื่องราว งานเอ็กซิบิชั่นที่ออกมาจึงเป็นเกี่ยวกับเรื่องเทคนิคมากกว่า ซึ่งตอนนี้เราเรียนรู้เยอะมากเกี่ยวกับเทคนิคเรื่องผ้า แต่เราเชื่อว่ามันก็ยังน้อยเกินไป ไม่สมควรจะเป็นเด็กปริญญาโท เพราะฉะนั้น เราต้องขยันให้มาก กว่านี้อีกล้านเท่า T_T เหนื่อยมากกๆ อยากเอางานคนอื่นมาลงให้ดู ว่าคนที่เค้าวิ่งไปจะถึงเส้นชัยแล้วเป็นยังไง แต่วาเพื่อนๆเค้ากลัวโดนก๊อปกันน่ะนะ

Friday, February 27, 2009

This is not garland on the street!!!







จากการอับบล๊อกที่ผ่านมา อาจจะเห็นภาพไม่ชัดเจนมากก็เรยอยากจะโพสรูปให้เห็น
และเข้าใจกันมากขึ้น *-*

Friday, February 20, 2009

WE LOVE GARLAND!!!!!!!!






ตอนนี้เรากำลังทำโปรเจค ของการเรียน ระดับปริญญาโท
ซึ่งไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่เหมือนกัน
เราทำโปรแจกเรื่องของการร้อยมาลัย แบบไทยๆเนี่ยแหละ
เราเริ่มต้นโปรแจกด้วยความคิดอันเล็กๆน้อยๆว่า
เราอยากทำอะไรก็ได้ที่มัน บ่งบอกว่าเรามาจากที่ไหน
ทำอะไรมาก่อน (personal identity) ซึ่งที่นี้เค้่า
ให้ความสำคัญอยู่มากสำหรับการที่คุณรุ็ว่าตัวคุณเป็นใคร
และคุณกำลังจะเริ่มทำอะไร เราจึงตัดสินใจ ที่ การร้อย
พวงมาลัย เพราะว่ามันเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆที่มีคุณค่า
แต่ว่าคนกลับลืมที่จะนึกถึงคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น
การร้อยมาลัยไม่ยากนัก ด้วยวิธีการเรียงร้อยของดอกไม้สด
จนเกิดลวดลายต่างหากที่เราคิดว่ามันน่าสนใจ
เราเริ่มรีเสิชอะไรหลายๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับการร้อยพวงมาลัย
อย่างเช่น วิธีการร้อย วัศดุ อุปกรณ์ และ ประวัตืศาสตร์

หลังจากนั้นเราก็เริ่มลงมือร้อยพวงมาลัยของเราเอง
โดยที่เราเริ่มจากการนำวัศดุเช่น ผ้าfelt ยางrubber กระดาษ
และอีกหลายๆอย่าง มาร้อยไปเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เราทำออกมามันกลับ
ไม่น่าสนใจมากนัก เพราะเราเลือกที่จะนำวัศดุที่มี
อยู่ในท้องตลาดมาร้อยมากกว่า และเราเองก็มัวแต่ไปคิดถึง
ผลลัพ สุดท้ายที่มันจะออกมาว่ามันควรจะออกมาเป็น
productอะไร ซึ่งระบบความคิดแบบนั้นมันทำให้เราตัน!!!!

หลังจากที่เราได้ tutorial กับอาจานที่นี่เค้าก็ให้เรากลับไป เริ่มต้นใหม่
เค้าบอกให้เรา เข้าชอปเยอะๆ ไปประดิษอะไรก็ได้แล้วสุดท้าย
คุณจะค้นพบกับสิ่งใหม่ๆด้วยตัวเอง แล้วคุณจะภูมิใจกับมัน
มันช่างต่างกับที่เราเคยเรียนมานัก เราจบ ไอดีมา ซึ่ง
ความคิดของเราคือเราคิด concept ให้ได้
สมัยเรียนเราก็จะโดนอาจานบอกว่า concept ของมันคืออะไร
ตลอดเวลา จนเรา รู้สึกว่ามันกลายเป็นความคิดไปแล้วว่า
เราจะต้องมีconcept ให้กับสิ่งสิ่งนั้น แต่ความจริงแล้ว
ที่เราเรียนตรงนี้บางที อินสไปเรชั่นมันสำคัญกว่านั้นเยอะ
การที่เรา explore และ experimental
ค่อนข้างเป็นสิ่งที่จะทำให้เราได้พบกับสิ่งใหม่ๆมากกว่า


นั้นเป็นจุดที่ทำให้เรารู้สึกท้อและไม่รู้ว่าตัวเองมาทำอะไรอยู่ตรงนี้


แต่เราก็เริ่มต้นใหม่ด้วยการเข้า ไป workshop
ทุกวันและตั้งใจศึกษามากขึ้น มันทำให้เรารู้ว่า สิ่งนี่มันก็มีความน่าสนใจ
เหมือนกัน และเราเองก็เริ่มจะสนุกกับมัน


นี่เป็นผลงานบางชิ้นที่เราไป สกรีน ผ้าด้วยตัวเองและนำมาร้อย


เราเริ่มร้อยและคิดถึงในstepถัดไป
ตอนนี้เราได้ความคิดใหม่ๆเกี่ยวกับ เวลาดอกไม้ที่เรา
ได้มาจากคนสำคัญ เรามักจะนำมาทับเพื่อให้ดอกไม้นั้นแห้งและเก็บไว้ได้นาน
เราจึงนึกไปถึง พวงมาลัยที่เราร้อย ทำไมดอกไม้พวกนั้นจึงโดนทิ้ง
ไปโดยไม่มีความหมายเพียงเพราะว่ามันเหี่ยว เราจึงได้ inspiration
จากตรงนั้น เราเอาผลงานที่เราร้อย มาทับ โดยเตารีด และเอาเข้าเครื่อง
heat press และนำลายกราฟิกที่เราออกแบบมาให้มันติดลงบนผ้า
ผลที่ออกมาดีเกินความคาดหมาย เพราะว่า
ลักษณะผ้าแต่ละชนิดจะมีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งเวลาที่
เราให้ความร้อน เข้าไป ผลที่ออกมา มันจะได้ สีที่ไม่สม่ำเสมอ
ซึ้งออกมาน่าสนใจ และหวังว่าต่อไปนี้เราจะได้อะไรใหม่ๆออกมาอีก


ตอนนี้มีกำลังใจมากขึ้นอีกนิด+++ ^^

DAILY HABITATs!!!




this is the place where i get the inspiration from!!!! i hope u like my home sweet home!!!

Monday, January 19, 2009

mushroom muchroom!!!



culture project//

Friday, January 16, 2009

CULTURE SHOCK!!!

ตอนนี้เรามีโปรเจกของมหาลัย เค้าให้เราประดิษอะไรก็ได้ลงไปในแก้วทดลอง
วงกลมขนาดเล็กกระจิ๋วริ๋ว ซึ่ง หลอดแก้วนี้เราจะได้เอาไปโชวที่โรงพยาลแห่งหนึ่งในลอนดอน
เค้าให้เราทำไปให้คนที่ผ่านไปผ่านมาในโรงพยาบาลดู ด้วยหัวข้อ

what does culture means to you?

เราให้ความหมายของสังคม เท่ากับ ดอกเห็ด

culture = mushroom

ที่เจริญเติบโตด้วยความรวดเร็วและมีหลากหลายแบบ
เห็ด หนึ่งต้น หมายถึง สังคมย่อยๆ subculture
พออยู่รวมกันเยอะๆก็กลายเป็นดง
เห็ดหรือดงของสังคมนั้นเอง

ตอนนี้ยังปั้นไม่เส็จเพราะมัวแต่ไปปั้นอะไรติ๊งต้องๆอยู่
เรยถ่ายรูปมาให้ดู





พูดถึงเรื่อง culture shock!!!เมื่อวานก่อนเราไปเรียนมีคาบเลคเชอรวิชาทีโอรี่
ปรกติอาจานก็จะเริ่มคาบด้วยการบอกกล่าวถึงเอ็กซิบิชั่นตางๆในลอนดอนและนักเรียนก็จะให้
ความสนใจเนื่องจากเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อทุกๆคน อยู่ดีๆก็มีเจ้คนนึงดูมีอายุ ยกมือขึ้นแล้วก็พูดขึ้นมาว่า

'ฉันมาที่นี้ เพื่อจะมาเรียนหนังสือ ไม่ได้มาฟังการประกาสอะไรไร้สาระ กรุณาเข้าเรื่องที่คุณจะสอนด้วย
ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่มาเรียนอีก'

ฝรั่งงงกันเรยทีเดียว ทุกคนถึงกับเงียบและอึ่งๆ แต่ด้วยความมีสติของอาจานผู้สอน เค้าก็บอกว่าโอเคได้ๆ
เราคิดว่าเป็นอาจานในประเทศยุโรป คงจะต้องมีความอดทนอย่างมากลองคิดว่าถ้าเป็นคนไทย คงจะไม่มี
ใครลุกขึ้นมาแสดงสิทธิส่วนบุคคลมากขนาดนี้


วิชาที่เราเข้าไปเรียนนี้เป็นวิชาที่สอนเรื่องเกี่ยวกับแนวความคิดต่างๆในมุมมองของศิลปะ
วันนี้เราเข้าไปเรียนแล้วรู้สึกว่าได้อะไรกลับมาหลายอย่างอยากจะเล่าให้ฟัง

เราได้เรียนเรื่อง beauty พูดง่ายๆก็คือความสวยงามที่มองเห็นและจับต้องกันได้
สิ่งที่น่าสนใจที่เค้าได้ให้แง่คิดกับนักเรียน เค้าบอกว่า

วัตถุ ที่เรามองเห็นกันอยู่นั้น เป็นเพียงแค่สิ่งที่เราเห็นแต่จริงๆแล้วเบื้องลึกนั้นันมีอะไรมากกว่านั้น
เค้ายกตัวอย่างหนังhorror เค้าบอกว่าแม้แต่หนังสยองขวัญที่น่ากัวก็ยังแฝงไปด้วย ความสวยงามของผู้คิด

อาจจะฟังแล้วเฉยๆ

แต่พอเค้าอธิบายให้เราฟังมากขึ้น เราเริ่มรู้สึกตกใจในความคิดนั้น

เค้าบอกเราว่าถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับเรายืนอยู่ตรงกลางระหว่างภาพ และโปรเจกเตอร์
เวลาเรามองภาพ มันคือสิ่งที่ฉายออกมาจากโปรเจกเตอร คนมักจะดูแค่เพียงภาพ
โดยปราศจากการมองถึงแก่นแท้ของสิ่งนั้นๆ ที่น่าตกใจกว่านั้น เค้าบอกเราว่า
งานศิลปะ หรือแม้แต่ทุกๆอย่างมันไม่มีจริงในโลก สิ่งที่ผลิตออกมาเป็นเพียงแค่
การcopy ของideaของผู้คิดเท่าน้น ของที่ออกมาจึงไม่มีสิ่งใดเพอแฟค เพราะความเพอแฟค
เป็นสิ่งที่อย่ในความคิด

ไม่รู้ว่าจะเข้าใจรึเปล่า ฮ่า แต่เรารู้สึกขนลุก กับการเรียนการสอนแบบนี้
ตอนทีเราเรียนเราจะนึกถึงแต่การออกแบบให้เข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง
แต่นี้แหละคือการเรียนแบบ เข้าถึงศิลปะ